Friday, October 10, 2008

ทำไมเทคโนโลยีถึง Fail

ปัจจุบัน Technology มีบทบาทต่อการดำรงชีวิต การทำธุรกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงต้องนำ Technology มาใช้เพื่อเป็นผู้นำในธุรกิจนั้นๆ จากการที่ประเทศไทยกลายเป็น Sandwich ที่อยู่ตรงกลางระหว่างการมีคุณภาพที่ดี แต่ก็ถูก Block ด้วยสายตาของตลาดโลกว่าสินค้าของไทยก็งั้นๆ ไม่น่าจะสู้สิ่งที่ผลิตมาจากประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศแถบยุโรปได้ แม้จะพยายามให้เป็นผู้ผลิตที่สามารถทำต้นทุนให้ต่ำ ก็ทำได้ไม่มากเท่าประเทศจีน ไทยจึงต้องอาศัยการคิดค้น Technology หรือ Innovation มาใช้เพื่อให้กลายเป็นผู้นำในตลาดโลก
ซึ่งการที่ไทยจะใช้กลยุทธ์ด้าน Technology และ Innovation เป็นการผลักดันให้เป็นผู้นำในตลาดได้นั้น ต้องเริ่มต้นด้วย
1. กำหนดไว้ใน Business Strategy ว่ามันคืออะไร และสำรวจตัวเองว่าเราอยู่ใน Business แบบไหน เราจะทำอะไรต่อ ความต้องการของเราคืออะไร และจุดแข็ง จุดอ่อนของบริษัทเราคืออะไร
2. กำหนด Technology Strategy Development โดยทำการหา Technology ที่ต้องการ และทำการประเมินตนเองว่าตอนนี้ เราอยู่ในจุดไหนเรามีความสามารถอะไรบ้างกับ Technology ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคตสิ่งที่เราต้องการจะมี และต้องการจะเป็นคืออะไร มีส่วนใดที่ขาดหายไปบ้าง และส่วนนั้นมันคืออะไรเพื่อทำการหา Gap Analysis และทำการปิด Gap นั้น
3. ทำการหา Technology ที่เหมาะกับองค์กร ซึ่งอาจทำได้โดยทำ Technology Scanning คือการหา Technology ด้วยการ Search ใน Google หรือไปตามงาน Exhibition หรืองาน Trade Show ต่างๆ หรือการเก็บข้อมูลเพื่อทำนายว่าในอนาคตแนวโน้มจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยปัจจัยที่จะมาช่วยในการวิเคราะห์ และเลือก Technology คือ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ, คู่แข่งขัน, วิธีในการตัดสินใจ, ตลาด และกลยุทธ์ที่องค์กรจะใช้ เป็นต้น
4. เมื่อกำหนดปัจจัยได้แล้ว จึงทำการจัดลำดับความสำคัญของ Technology ว่า Technology ที่จะนำมาใช้อะไรที่จำเป็นจะต้องมี หรือ Technology ที่จะนำมาใช้ควรมีสามารถใช้ได้กับ Innovation ที่องค์กรจะทำการ Create ในอนาคตได้ด้วยหรือไม่
5. นำ Technology ที่ได้มาใช้กับองค์กร พร้อมทั้งทำการ Adaptation ร่วมกับ Implementation ไปด้วย เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดเป็น Technology Fit โดยทำการปรับ Technology ทั้งใหม่ และเก่าให้เข้ากัน โดยให้ Technology เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน
6. เมื่อมีความชำนาญเกิดขึ้น ลำดับต่อไปคือการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการ Move จาก Imitator ให้กลายเป็น Innovator ให้ได้
ซึ่งการที่จะทำให้ Innovation ของเราสำเร็จในตลาดจนเป็นผู้นำกลายเป็น Innovator ได้นั้น จะมี Key Success Factor จะต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้, องค์กรต้องไม่หยุดนิ่ง ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง, มีการ Open Innovation คือการให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในนวัตกรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการออกแบบความคิดเห็นการใช้งานของผลิตภัณฑ์ หรือการร่วมกัน Vote Design ของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
แล้วทำไมองค์กรถึงต้องขวนขวาย และโหยหาการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ ก็เนื่องจากการที่เป็น Innovator นั้น มีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น
- เมื่อเข้าไปเป็นเจ้าแรกสามารถตั้งราคาได้ก่อน เข้าตลาดได้ก่อน มีคนจำได้มากกว่า (First Mover Advantage)
- ทำให้มี Market Position ที่ดีกว่า ในด้านของการผลิตผลิตภัณฑ์ออกมาแล้ววาง Position ให้กลายเป็น Premium
- เมื่อเข้าเป็นเจ้าแรก ก็สามารถ Set Standard ให้แก่อุตสาหกรรมนั้นๆ ได้
- เมื่อมีการ Set Standard ก็จะสามารถสร้าง Barrier to entry ได้
- สามารถสร้างเครือข่ายของผู้ใช้ สร้างชุมชนได้เร็วกว่า
- ทำให้ลูกค้าที่จะทำการ Switch Brand เปลี่ยนไปใช้คู่แข่งเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากเราเข้าถึงตัวผู้บริโภคก่อน สร้างชุมชนได้ก่อน
แต่ในขณะเดียวกัน Innovation ก็มีข้อเสียเปรียบในหลายๆ ด้าน ซึ่งสามารถนำไปสู่การมีนวัตกรรมที่ล้มเหลวในบริษัทนั้นๆ เนื่องจาก
- การที่จะเป็นผู้นำในอุตสากรรมจะต้องมีการลงทุนใน Technology และ Innovation ที่สูง เนื่องจากต้องใช้ Technology มาวิจัย และพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการมีทีมวิจัยที่มีความสามารถจะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรมาก ซึ่งเมื่อวิจัยออกมาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผลการวิจัยนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะมันเป็นการลองผิดลองถูก ซึ่งถ้าผลการวิจัยที่ออกมามันไม่ Work จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่เกิดประโยชน์
- ครั้นเมื่อมีการวิจัยออกมาจนผลิตเป็นผลิตภัณฑ์แล้วก็เสี่ยงในเรื่องของมีผู้เลียนแบบในสินค้านั้นๆ ทำให้ไม่สามารถ เก็บเกี่ยวกำไรของผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มที่
- หรือเมื่อมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้ว ผู้บริโภคกลับยังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เช่นกรณีของ บริษัท Motorola ซึ่งพยายามที่จะผลักดันให้มีการติดต่อสื่อสารได้จากทุกแห่งบนโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย Sahara หรือยอดเขา Everest ซึ่งต้องใช้เงินจำนวน 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และติดตั้งดาวเทียมจำนวน 88 ดวงรอบโลก ซึ่งผลที่ออกมาพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการใช้โทรศัพท์จากเกาะที่อยู่ไกลๆ หรือจากขั้วโลกเหนือ และพบว่าความต้องการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จากต่างประเทศมีเพียงเล็กน้อย และที่แย่ที่สุดคือโทรศัพท์มีขนาดใหญ่เทอะทะ เพราะต้องรองรับความซับซ้อนของอุปกรณ์ไร้สาย และมีต้นทุนที่สูงมากถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ค่าบริการสูงตามไปด้วย ซึ่งบริษัท Motorola ประสพความสำเร็จกับธุรกิจนี้ในเวลา 10 ปีต่อมา
- ข้อเสียเปรียบในด้านของการเป็นผู้นำในตลาดทำให้ตกลงในกับดักที่ตนได้สร้างขึ้นไว้ เช่นกรณีของบริษัท Motorola บริษัทเกือบต้องล้มละลายเนื่องจากบริษัทยังต้องมีต้นทุนในการบำรุงรักษาดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลกอีกเดือนละ 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อ Technology นี้ตก Trend ไป Motorola ต้องเป็นผู้รับผิดชอบนำดาวเทียมออกจากวงโคจร และทำลายทิ้งเพื่อความปลอดภัย เป็นเงินจำนวน 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงมากต่อมวลมนุษยชาติ ในเรื่องของเศษซากดาวเทียมหากตกลงสู่พื้นโลก อาจทำให้ประเทศรัสเซียเข้าใจผิดว่าโดนโจมตี อาจทำให้เกิดสงครามโลกได้
เมื่อเห็นข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบของการมีนวัตกรรมแล้ว พบว่ามีข้อได้เปรียบอยู่มาก ซึ่งในด้านข้อเสียเปรียบนั้น บริษัทต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้ข้อเสียเปรียบเหล่านั้นหมดไป จึงเกิดคำถามต่อมาว่าแล้วจะทำอย่างไรจึงจะทำให้องค์กรของเรามีนวัตกรรม

1. ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Top Management โดยการกระทำทุกขั้นตอนต้องได้รับการอนุมัติ เช่น การจะให้องค์กรมีความเป็นผู้นำในนวัตกรรมนั้น ฝ่าย R&D ต้องเป็นพวก Think outside the box แต่ถ้าผู้บริหารไม่เห็นด้วย ให้ R&D คิด และวิจัยแค่ภายในห้องสี่เหลี่ยม มันก็ไม่สอดคล้องกัน และการคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ จะต้องใช้เงินเป็นตัวสนับสนุนค่อนข้างมาก ถ้าผู้บริหารไม่เห็นด้วย อาจจะไม่ให้งบในการวิจัย ก็จะทำให้งานไม่ก้าวหน้าได้
2. บุคลากรมีทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลง ในการที่องค์กรจะเป็นองค์กรที่เป็นผู้นำในนวัตกรรมนั้น ต้องได้การสนับสนุนในทุกภาคส่วน ไม่ใช่ค่ายฝ่าย R&D เท่านั้น ทุกคนต้องร่วมกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น
3. มีการกระจายอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมในความรับผิตชอบของการดำเนินงาน พร้อมทั้งมีความรวดเร็วในการทำงาน สมกับที่ต้องการเป็นผู้นำในนวัตกรรมในอุตสาหกรรมนั้นๆ
4. มีการสนับสนุนให้เป็น Entrepreneurial Culture คือวัฒนธรรมในองค์กรที่สนับสนุนให้พนักงานเปรียบเสมือนเป็นผู้กอบการ กล้าที่จะเสี่ยง ในการให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงานจะทำให้พนักงานทำงานได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น
5. ลดความซ้ำซ้อนในองค์กร คือการที่ระบบการทำงานต้องมีหลายขั้นตอน เช่น ทำ A เสร็จ ต้องไปให้หัวหน้าเซ็นต์ เมื่อทำไปถึงขั้น B เสร็จ ต้องไปให้หัวหน้าเซ็นต์อีกครั้ง จะพบว่ามีการทำงานที่หลายขั้นตอนทำให้ได้งานที่ล่าช้า เพราะฉะนั้นบริษัทจึงควรลดความซ้ำซ้อนของการทำงานเพื่อให้บริษัทมีความว่องไวต่อการดำเนินธุรกิจ
6. ต้องให้ความสะดวกสบายแก่พนักงานพอสมควร เช่น จะให้พนักงาน Think outside the box ก็จัดสถานที่ทำงานค่อนข้างอิสระ หรือมีระบบ communication ที่สะดวกสบาย
7. Interconnectedness เช่น จากเดิมมีการสื่อสารจาก 1 ไป 2 จาก 2 ไป 3 จาก 3 ไป 4 ก็เปลี่ยนมาเป็นจาก 1 ไป 4 ได้เลย เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน
8. มีระบบการบริหารงานแบบ System Openness
นอกจากนี้ องค์กรควรจัดกระบวนการจัดการในการพัฒนานวัตกรรมขององค์กรโดยการ
- ค้นหา และตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งภายใน และภายนอกขององค์กร เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมีการค้นคว้าวิจัย ศึกษาพฤติกรรมคู่แข่ง ศึกษากฎหมายต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อนวัตกรรม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหาช่องทางใหม่ให้แก่องค์กร
- การคัดเลือกเชิงกลยุทธ์ ที่เลือกจากชุดของนวัตกรรมที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จที่ได้จากการตรวจสอบ และค้นหาในขั้นตอนแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรพร้อมที่จะทุ่มเททรัพยากรในการพัฒนาอย่างเต็มที่ เป็นความท้าทายอย่างมากขององค์กรในการเลือกสิ่งที่องค์กรมีอยู่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดในการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน
- แหล่งที่มาของทางเลือก เป็นการเลือกใช้ความรู้ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ได้จากทำวิจัยและพัฒนาหรือการ ได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี ให้เกิดประโยชน์
- การนำเอานวัตกรรมนั้นไปปฏิบัติจริง เป็นการเปลี่ยนจากแนวความคิดผ่านกระบวนการต่างๆ จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ หรือบริการสู่ตลาด หรือเป็นกระบวนการใหม่ๆ ภายในองค์กร
- การเรียนรู้จากการที่ลงมือปฏิบัติไปแล้ว ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขและบริหารจัดการว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้กระบวนการดีขึ้น

แม้จะมีผู้แนะนำอยู่แล้วว่าองค์กรควรดำเนินงานอย่างไร ควรเดินไปทางไหนเพื่อที่จะได้เป็นผู้นำแห่งด้านนวัตกรรม แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีหลายองค์กรที่ล้มเหลวกับการนำนวัตกรรมมาใช้ ซึ่งเหตุผลส่วนใหญ่เกิดจาก

1. Culture - Culture ขององค์กร ถ้าวัฒนธรรมในองค์กรเป็นระบบการทำงานที่เฉื่อยชา แม้จะออกมาเป็นนโยบายว่าบริษัทมุ่งสู่การเป็นผู้นำในนวัตกรรม แต่ถ้ายังมี Culture ในการทำงานแบบเชื่องช้าก็ไม่สามารถก้าวมาเป็นผู้นำในตลาดด้านนวัตกรรมได้ หรือแม้กระทั่งถ้าไม่ได้การสนับสนุนจากพนักงาน หรือผู้บริหารเท่าที่ควรก็มีโอกาสทำให้ล้มเหลวได้
2. Ownership - ผู้ที่เป็น Manager ต้องให้ความสำคัญกับ Idea ต่างๆ ของพนักงาน พร้อมทั้งยอมที่จะเสียสละกับ Resource ที่หายาก เช่น เวลา และเงินในการคิดค้นแต่ละ Project ถ้า Manager ไม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แล้วนวัตกรรมก็จะไม่เกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Manager ต้องมีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของในธุรกิจนั้นๆ ด้วย
3. Process – การสร้างแนวความคิดใหม่ๆ นั้น จำเป็นจะต้องใช้เวลา และทุ่มเททรัพยากรต่างๆ ให้กับบุคลากร เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ ต้องส่งคนไป Train ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ ต้องมี Learning Curve ใหม่ๆ ขึ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ค่อนข้างใช้เวลาเป็นอย่างมาก แต่องค์กรต้องยอมลงทุนเพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้น ถ้าพบว่านวัตกรรมที่องค์กรกำลังดำเนินงานอยู่นั้นไม่น่าจะไปรอด องค์กรต้องกลับมาศึกษาว่าเพราะอะไร ซึ่งเหตุผลอาจเป็นเพราะบุคลากรไม่เพียงพอแต่ละคนมีงานที่ Overload หรือต้องดูด้วยว่าบุคคลนั้นชอบความท้าทายหรือไม่ ในขณะเดียวกันต้องให้บุคลากรพวกนี้มีอิสระต่อการคิด พร้อมทั้งเลือกคนให้เหมาะกับงานด้วย
4. Resource – หลายครั้งที่ CEO กล่าวในที่ประชุมว่าองค์กรเราต้องการนวัตกรรมมากกว่านี้ แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อไปยังวาระอื่นๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว Innovation ต้องใช้เวลา ความคิด และเงิน ผู้ที่เป็นผู้คิดค้น Innovation ต้องการความเป็นอิสระ และเวลาในการคิด และการทำอะไรที่แปลกใหม่ที่พอจะมีความเป็นไปได้ในธุรกิจนั้นๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องการแนวความคิดใหม่ๆ เพื่อมาช่วยในการทำงาน Innovation เป็นเรื่องของอนาคตก็จริง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการลงทุนในด้านต่างๆ ของวันนี้
5. Strategy – การให้คนในองค์กร Think out of the box ความคิดไม่มีกฎระเบียบ ไม่มีเขตแดนเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงทำให้เกิด Idea ขึ้นมากมาย แต่ในบาง Idea ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง อาจเป็นเพราะมีราคาที่สูงมาก แล้ว Idea ไหนล่ะ ที่จะสามารถใช้ได้จริง และมีราคาที่เหมาะสมด้วย บุคลากรควรที่จะใช้กลยุทธ์ที่มีอยู่แล้วในขององค์กร เพื่อผลักดันให้กลายเป็น Core Competency ของบริษัท และทำให้เกิดนวัตกรรมอย่างเหมาะสม
6. Fuzzy Front End – มีหลาย Idea ที่ซ่อนอยู่ในองค์กรแต่จะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ Idea ที่แปลกใหม่จริงๆ ซึ่ง Idea ที่แปลกใหม่เหล่านี้จะได้มาจากการมองตนเอง, มองคู่แข่ง, การเข้าถึงผู้บริโภค, การวิเคราะห์ Supplier, การศึกษาเรื่องประชากร, แนวโน้มของตลาด, เศรษฐกิจ, การเมือง และสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Innovation จะเกิดจากการระดมความคิดเห็นของคนในองค์กร การรวบรวมความคิดต่างๆ และการทุ่มเทเต็มที่กับ Project นั้นๆ หรืออาจเป็นช่วงเปลี่ยน Technology เช่น จากจอโทรทัศน์ธรรมดา เปลี่ยนมาเป็นจอ LCD หรือ Plasma ซึ่งมีข้อสงสัยว่าจอแบบไหนที่จะเข้ามาสู่ตลาดได้ก่อน นวัตกรรมทั้ง 2 ชนิดจะต้องรีบ Group ผู้ผลิต และผู้บริโภคให้ได้มาก เพื่อ Dominate ตลาดให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น และทำการลดราคาให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นเจ้าแห่งตลาดได้เร็วที่สุดด้วย
7. Diversity – เป็นการดีที่จะมีความหลากหลายทางความคิด เช่น บริษัทอาจตั้งทีมงานที่ทำงานกันคนละแผนกเพื่อให้เกิดการมองต่างมุม และอาจช่วยในการจัดการธุรกิจได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น ซึ่งในทีมอาจจะประกอบไปด้วยคนต่างเพศ ต่างอายุ เป็นต้น
8. Criteria & Metrics – ควรมีการสร้างมาตรฐานการทำงาน หรือมาตรฐานของสินค้า เพื่อให้มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าและการบริการอยู่สม่ำเสมอ
9. Training & Coaching – ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานในเรื่องของนวัตกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถตลอดเวลา เพราะนวัตกรรมจะเกิดได้จากการคิดนอกกรอบ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพัฒนาทักษะต่างๆ ให้เกิดขึ้น
10. Idea Management System – องค์กรต้องมีระบบการจัดการความคิดที่ดีพอ นั่นหมายถึงต้องมีกรอบทางความคิดพอสมควร เช่น เมื่อคิด Idea ออกมาแล้วต้องมีความเป็นไปได้ที่จะขายได้ มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ได้จริง พร้อมทั้งมีราคาที่ สมเหตสมผล
11. ขั้นตอนการทำ Innovation จาก Innovation Funnel จะเห็นได้ว่ามี Idea ที่เกิดขึ้นมากมายบริเวณต้นกรวย ซึ่ง Idea เหล่านั้นจะผ่านการ Screening คือผ่านการ Screen ว่าแนวความคิดนั้นสามารถมีความเป็นไปได้หรือไม่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่เกิดจะเป็นอย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้ในการ Screen ขั้นตอนต่อมาคือ การทำ Prototyping หรือการทำตัวอย่างสินค้าเพื่อเป็นการบอกถึงความเป็นไปได้ในการใช้สินค้า เนื่องจากสินค้าบางประเภทมีรูปแบบที่สมบูรณ์ แต่เมื่อผลิตออกมาใช้จริงๆ กลับไม่ได้ตามสิ่งที่คาดหวังไว้ ขั้นตอนต่อมาคือ Product Development เมื่อได้สินค้าออกมาแล้ว ต้องมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้มีความเหมาะสมต่อใช้ และกลายเป็นเจ้าของตลาดในที่สุด
12. นวัตกรรมที่ตนสร้างเป็นเพียงความตื่นเต้นชั่วครู่ชั่วยามของผู้บริโภค สักพักก็จางหายไป องค์กรต้องคำนึงถึงการบริโภคแบบยั่งยืน คือสามารถเป็นการผลิตและการบริโภคที่สามารถตอบสนองความจำเป็นของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สภาวะที่มีอยู่อย่างจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องสงวนรักษาไว้ใช้ประโยชน์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
13. พนักงานมีความเข้าใจผิดในนวัตกรรมว่า ต้องเป็นสินค้าที่ไฮเทคเท่านั้น เป็นการกระทำเฉพาะบางแผนก หรือบางอุตสาหกรรมเท่านั้น จริงๆ แล้ว เป็นสิ่งที่คนทั้งองค์กรต้องช่วยกัน
14. คนกลัวการเปลี่ยนแปลง เช่นในการทำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ทำให้คนกลัวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาท และความสำคัญในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบของตนให้ลดลง จึงทำให้ต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งๆ ที่มีประโยชน์มากมาย
15. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ล้าหลังที่จะเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ
16. การให้ความรู้อย่างไม่กว้างขวาง ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคซึ่งจะก่อให้เกิดคนบางพวกที่ยอมรับเทคโนโลยี กับคนบางพวกที่ไม่ยอมรับเทคโนโลยีนี้
จะเห็นได้ว่ามีอุปสรรคมากมายที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวในนวัตกรรม องค์กรจะทำอย่างไรจึงจะสร้าง Innovation ให้คงอยู่ได้
- ขจัดความกลัวออกไป และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับการลองทำสิ่งใหม่ๆ เช่น ในองค์กรที่เป็นเจ้าของตลาดในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่ๆ เนื่องจากส่วนมากจะคิดว่าจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ไม่คุ้มกับสิ่งที่จะได้มา แต่ในองค์กรเล็กๆ ที่กล้าที่จะฉีกแนวทางการตลาดกลับเติบโตได้ ดั่งบริษัท 3M ที่แต่ก่อนเป็นบริษัทเล็กๆ แต่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเจ้าตลาดในปัจจุบันได้
- กำหนดให้ Innovation เป็นส่วนหนึ่งในการวัด Performance ในแผนก R&D การวัด Performance คือผลิตภัณฑ์ที่ได้คิดค้นขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าเป็นแผนก Account การวัด Performance ก็อาจจะเป็นกระบวนการทำงานที่เร็วขึ้น มีความสะดวกสบายพร้อมทั้งมีความถูกต้องมากขึ้น เป็นต้น
- จัดทำเอกสารของกระบวนการ Innovation และจัดอบรม เพื่อเป็นการ Make Sure ว่าทุกคนจะเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
- องค์กรควรปรับให้พนักงานมีช่องทางในการคิดค้นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ให้พนักงานปฏิบัติเป็น Step 1 2 3 4 เท่านั้น แต่ต้องให้พนักงานถลองค้นหาแนวทางใหม่ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร
- องค์กรต้องแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์กรว่าจะเป็นองค์กรแห่ง Innovation เพื่อให้แต่ละคนเดินไปให้ทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งมีระบบที่รองรับความคิดเห็นของคนในองค์กร
- สอนพนักงานให้มองหาทางเลือกใหม่ๆ จากสิ่งแวดล้อม, จาก Technology และที่สำคัญมองลูกค้าว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการที่แท้จริงคืออะไร
- สอนให้พนักงานให้มีความหลากหลายทางความคิด ทั้งในด้านของ แนวความคิด ประสบการณ์ มุมมอง และความชำนาญต่างๆ ซึ่งความหลากหลายทางความคิดเหล่านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้าง Innovation ด้วย
- สร้างมาตรฐานของกระบวนการทางความคิด แต่ไม่ควรให้มีข้อจำกัดมากเกินไปเพราะจะมีผลต่อความหลากหลายทางความคิด และการอิงกับอดีตมากไปจะไม่เปิดโอกาสในความหลากหลายทางความคิด
- ให้ความสำคัญกับทีม R&D เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือต่างๆ และทัศนคติที่แตกต่างจากแผนกอื่นๆ โดยให้มีการฝึกอบรมจึงจะประสพความสำเร็จได้
- มีการพัฒนาระบบการจัดการทางความคิด เช่น ให้การสนับสนุน Idea ที่มีความเป็นไปได้
ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว คิดว่าการที่ Innovation มัน fail เพราะ ส่วนมากการที่บริษัทเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ มักจะเก็บกำไรเกินควร ซึ่งผู้บริโภคอาจมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากนักของ Innovation หรืออาจเห็นคุณค่าแต่สู้ราคาไม่ไหวต้องรอเป็นระยะเวลาสักพักให้ราคามันตกลงมาก่อนจึงจะเข้าไปจับจองเป็นของตนเอง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็เข้ามา Copy and Development ไปแล้ว ทำให้ได้ราคาที่ต่ำกว่าเพราะไม่ต้องเสียค่า Research and Development การคาดการณ์กำไรของบริษัทจึงไม่เป็นไปตามที่หวัง หรืออาจเป็นเพราะระหว่างจุดเปลี่ยนของ Technology เกิด Fuzzy Front End ทำให้ไม่ทราบว่าแนวโน้มตลาดจะกลายเป็นยังไง ซึ่งถ้าเราสามารถทำให้ Radical Innovation เกิด ก็จะกลายเป็นผู้นำในตลาดได้ ซึ่งต้องทำการเข้าถึงผู้บริโภคให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายให้ไวที่สุดด้วย ซึ่งตัวอย่างของนวัตกรรมที่ทำให้โลกได้ประโยชน์มากที่สุด โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า น่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้าของโทมัสแอลวาเอดิสัน เพราะสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ออกมาได้ตรงตามความต้องการของตลาด และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางด้วย
สรุป
นวัตกรรม คือ แนวความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ใหม่ต่อตัวปัจเจกหรือหน่วยที่รับเอาสิ่งเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ การรวมเอากิจกรรมที่นำไปสู่การแสวงหาความสำเร็จเชิงพาณิชย์ การสร้างตลาดใหม่ ผลิตภัณฑ์ กระบวนการและการบริการใหม่ การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม การนำนวัตกรรมมาใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อให้เป็นผู้นำในตลาดนั้นมีความเป็นไปได้ต่อทุกบริษัท ซึ่งไม่ใช่เฉพาะบริษัทที่ผลิตสินค้าเท่านั้น แต่การบริการก็สามารถนำนวัตกรรมมาใช้ในการทำงานได้เช่นกัน นวัตกรรมมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่ให้องค์กรเป็นเจ้าแห่งตลาดเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงการพัฒนาของโลกที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่มวลมนุษยชาติ ซึ่งในการสร้างนวัตกรรมนั้นก็ไม่ง่าย และไม่ยากเกินความสามารถขึ้นอยู่กับว่าองค์กรจะใช้หลักใดในการบริหารทรัพยากรบุคคล และเงินให้มีคุณค่า ให้มีประโยชน์มากที่สุด ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะต้องแน่ใจกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมนั้น โดยจะต้องมีการ ออกแบบ วางแผน รวมถึงการควบคุมดูแล ให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ทำให้เราระมัดระวังกับความเสี่ยงได้มากขึ้นเท่านั้นเอง
เจ้าของผลงาน คุณ Korrakod Trongkarndee

Discuss the differences on strategic focuses between radical and incremental innovation?

Executive Summary

นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง ความคิด การกระทํา หรือวัตถุใหม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทํามาก่อนเลย หรือสิ่งใหม่ที่เคยทํามาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือสิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม โดยสามารถจำแนกประเภทของนวัตกรรมเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ Radical Innovation และ Incremental innovation นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) หรือเรียกได้อีกอย่างว่านวัตกรรมแบบไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริงสู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value) ความเชื่อเดิม (belief) ตลอดจนระบบคุณค่า (value system) ของสังคมอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นอินเตอร์-เน็ท (Internet) ซึ่งเป็นนวัตกรรมหนึ่งในยุคโลกข้อมูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เน็ท ทำให้ค่านิยมและระบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนไป ส่วนนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation) เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเป็นลำดับขั้น เช่น การเพิ่มความจุของหน่วยความจำใน USB Disk ที่มากขึ้นและเล็กลงเรื่อย ๆ
ในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีหรือ Innovation ขององค์กร ถ้าเปรียบเทียบถึงความเสี่ยงจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนานวัตกรรมแบบ Radical จะมีความเสี่ยงมากกว่า Incremental อย่างไรก็ตามผลตอบแทนที่ได้ย่อมมากกว่าเช่นกัน ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ นำไปซึ่งการพัฒนางค์กรและธุรกิจอย่างแท้จริง

ความหมายของนวัตกรรม (Innovation)
Everette M. Rogers (1983) ได้ให้ความหมายของคําว่า นวัตกรรม (Innovation) ว่า นวัตกรรมคือ ความคิด การกระทํา หรือวัตถุใหม่ๆ ซึ่งถูกรับรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวบุคคลแต่ละคนหรือหน่วยอื่นๆ ของการยอมรับในสังคม (Innovation is a new idea, practice or object, that is perceived as new by the individual or other unit of adoption)
ดังนั้น นวัตกรรมอาจหมายถึงสิ่งใหม่ๆ ดังต่อไปนี้
1. สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทํามาก่อนเลย
2. สิ่งใหม่ที่เคยทํามาแล้วในอดีตแต่ได้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
3. สิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม

นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) หรือเรียกได้อีกอย่างว่านวัตกรรมแบบไม่ต่อเนื่อง (Discontinuous Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริงสู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value) ความเชื่อเดิม (belief) ตลอดจนระบบคุณค่า (value system) ของสังคม อย่างสิ้นเชิง เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างจากวิธีการเดิมอย่างสิ้นเชิงและเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบ ซึ่งอาจจะไม่มีความต่อเนื่องหรือเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดก็ได้ การพัฒนาในรูปแบบนี้จะมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงทั้งจากการผลิต การทำ R&D การตลาด ความใหม่ของเทคโนโลยี โดยต้องใช้เวลาและการลงทุน เช่น การเปลี่ยนแปลงจาก Floppy Disk มาเป็น USB Disk (กมลภัทร บุญค้ำ, 2543) นอกจากนี้ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) ยังได้รับการให้นิยามโดยผู้เชี่ยวชาญว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ขึ้นนับสิบเท่าหรือไม่ก็เพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ ให้กับความสามารถของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ภายใต้คำนิยามดังกล่าวนี้เห็นได้ชัดเจนว่านวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนไม่สามารถได้มาง่ายๆ ตัวอย่างเช่นอินเตอร์-เน็ท (Internet) จัดว่าเป็นนวัตกรรมหนึ่งในยุคโลกข้อมูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เน็ท ทำให้ค่านิยมเดิมที่เชื่อว่า โลกข้อมูลข่าวสารจำกัดอยู่ในวงเฉพาะทั้งในด้านเวลาและสถานที่นั้นเปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ทเปิดโอกาสให้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลอย่างไร้ขีดจำกัดทั้งในด้านของเวลาและระยะทาง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ทำให้ระบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงไป

นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation) หมายถึง รูปแบบของการแข่งขันที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการปรับปรุงสินค้าหรือบริการที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น โดยอาศัยความรู้ทางเทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลัก (Core components) เป็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์และกระบวนการไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเป็นลำดับขั้น หรือเปลี่ยนแปลงไปเพียงบางส่วนโดยมีการพัฒนามาจากรูปแบบเดิมของผลิตภัณฑ์ๆ เช่น การเพิ่มความจุของหน่วยความจำใน USB Disk ที่มากขึ้นและเล็กลงเรื่อย ๆ

ตัวอย่างของ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation)
3G เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดียและส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูง เป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย เนื่องจากเป็นการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่มิใช่เสียงพูด (Non-voice) สูงมากขึ้น เทคโนโลยี 3G มีการพัฒนาช่องสัญญาณความถี่และความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเดิม รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่หลากหลายทั้งในด้าน Software Content และ Application ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี 3G เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาอุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ทั้งในด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมาย และความพร้อมของตลาด ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันพัฒนาตลาดไปในทิศทางที่สมเหตุสมผลทั้งสำหรับผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ดังนี้
ผู้ให้บริการ (Operator) ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างของเครือข่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายสัญญาณวิทยุมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่ายโดยรวม
- การลงทุนติดตั้งสถานีฐานขึ้นใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยี 3G
- การลงทุนกับ Software Upgrade เครือข่ายและอุปกรณ์รับส่งสัญญาณวิทยุ
- การลงทุนกับเครื่องโทรศัพท์ โดยมีการพัฒนาในส่วนของ Battery, หน่วยความจำ

ผู้ใช้บริการ (End User)
- การลงทุนซื้อเครื่องโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่สามารถรองรับเทคโนโลยีของ 3G

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา การพัฒนาเทคโนโลยีของ 3G มีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ ทั้งทางด้านการลงทุนในการสร้างเครือข่าย การพัฒนา Software ควบคุมทั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณและรับสัญญาณ เป็นการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์และกระบวนการจากรูปแบบเดิมไปสู่รูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง ในด้านของผู้ใช้เองก็ยังต้องเปลี่ยนตัวโทรศัพท์มือถือเป็นรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ ซึ่งเป็นลักษณะของการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ที่สัมพันธ์กับรูปแบบของ นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง หรือ Radical Innovation

ตัวอย่างของ นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Incremental innovation)

นวัตกรรม (Innovation) ส่วนมากจะเป็นแบบ Incremental คือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยโดยเป็นการปรับปรุงระบบหรือกระบวนการทำงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น วินโดวส์ 98 ไป วินโดวส์ 2000 เป็นต้น จากการศึกษาของ Hollander’s famous study of Du Pont rayon plants พบว่าการเปลี่ยนแปลงแบบ incremental จะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็วฉับพลัน การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็น Platform หรือ Robust เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้การพัฒนานวัตกรรมแบบ Incremental เกิดผลดีต่อองค์กรได้ เพราะหากได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น platform หรือเป็น family แล้ว การคิดค้นนวัตกรรมทีละเล็กทีละน้อยจะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่อยู่ใน family นั้น ซึ่งเป็นการยืดระยะเวลาของช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น การออกแบบ Robust design ของ Boeing airlines หรือไมโครโพรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์จะเห็นได้ชัดเจน เช่น Intel มี 286, 386, 486, Pentium, Celeron, Centrino, Duo core เป็นต้น ชัดเจนมากที่สุดคือ Pentium 1-4 และ AMD เช่น Athlon และ Duron เป็นต้น ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ Walkman ที่เป็นวิทยุขนาดพกพา เริ่มพัฒนามาจากระบบวิทยุและเทป และได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็น minidisk, CD, DVD และเครื่องเล่น MP3 ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีการพัฒนากระบวนการทำงานของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลาจากความคิดที่เป็น Platform ต้นแบบ

นอกจากนี้ยังมีการนำ Incremental Innovation มาใช้กับ culture ขององค์กร ตังอย่างเช่นบริษัทเครือซีเมนต์ไทย มีการต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบัน ดัดแปลง หรือปรับปรุงโพรเซสให้ดีขึ้น ถ้าในแง่วัฒนธรรมองค์กร มี 4 เรื่องที่บริษัทเครือซีเมนต์ไทยพยายามสร้าง คือ Think Out of the Box (การคิดนอกกรอบให้ได้) Open-minded (การเปิดใจ รับฟังคนอื่น ให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา) Risk Taker (ความกล้าตัดสินใจ กล้าลองผิดลองถูก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้) และ Personal Mastery (นิสัยหมั่นค้นคว้า เรียนรู้ด้วยตนเอง) นอกจากนี้ เทคโนโลยีอินทราเน็ตถูกนำมาใช้ในการสร้างแหล่งเรียนรู้ที่ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยมีทีมรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับ Innovation รวบรวม Best Practice ขององค์กรต่างๆ รวมทั้งหนังสือดีๆ ก็ถูกจัดเป็น Book Briefing ไว้ในเว็บไซด์ เป็น e-learning สำหรับพนักงานทุกคน นอกเหนือจากการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน Innovation มาบรรยายอย่างต่อเนื่อง และมีการจัด Communication Package ใช้สื่อภายในองค์กรแบบดั้งเดิม ทำหนังสือพิมพ์ขนาดแท็บลอยด์ “Inno News” ส่งถึงพนักงานทุกคน

ในการสร้าง Innovation Culture ของเครือซิเมนต์ไทย เริ่มมาจาก Incremental innovation ซึ่งอยู่ในระดับกลาง เกิดจากการต่อยอดความคิดสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่มีคุณค่ากว่าเดิม ซึ่งวิธีการที่นำมาใช้เป็นรูปแบบในการเรียนรู้ คือ ทำ E-Learning, Training มีการจัดค่ายให้กับนักศึกษาเพื่อทำการคัดเลือกบุคลากร เป็นต้น ส่วนในเรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรม มีการตั้งเงินรางวัลที่ค่อนข้างสูง ซึ่งทางเครือเครือซิเมนต์ไทยได้นำหลักการและทฤษฎีต่างๆ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สร้างสรรค์กิจกรรมนำร่องและสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการเกิดการคิดสร้างสรรค์จนเกิดนวัตกรรม ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจจนถึงในปัจจุบันและยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สรุป

ทุกวันนี้อุตสาหกรรมต่างๆ มุ่งที่จะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของตนให้เป็นนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้ครอบคลุมตลาดแบบ Global ในการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภค ความไม่แน่นอนในแนวโน้ม (trend) ของ segment และตลาด แม้ว่าการพัฒนานวัตกรรมแบบ Incremental เป็นการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังพัฒนานั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ และจะมีผลกระทบกับสินค้าหรือบริการเดิมหรือไม่ นั่นคือความเสี่ยง แต่เมื่อหันมาพิจารณาหากเราต้องการที่จะพัฒนานวัตกรรมให้เป็นแบบ Radical แน่นอนว่ายิ่งจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าจะพัฒนาอะไรและจะมีผลกระทบ อย่างไรก็ตามการบริหารธุรกิจเทคโนโลยีมีคำกล่าวว่า “เสี่ยงมาก ผลตอบแทนมาก” Hi Risk Hi return เพราะการที่หากมีนวัตกรรมที่เป็น Radical Innovation เกิดขึ้นจะสามารถครอบครองตลาดพร้อมทั้งดึงลูกค้าในตลาดเดิมมายังตลาดใหม่ได้ทั้งหมด เพราะหากมีทางเลือกสินค้าทดแทนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า (Substitution Goods) อาทิเช่น การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่ใช้กล้องแบบฟิล์มไปใช้กล้องดิจิตอลทั่วโลก แน่นอนหากผู้นำตลาดกล้องฟิล์มไม่สามารถปรับตัวไปผลิต Radical อย่างกล้องดิจิตอลได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่ในอุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปได้อีกต่อไป ผู้ที่เลือกจะพัฒนา Radical อย่างกล้องดิจิตอลนอกจากเป็นผู้นำแล้วยังอาจครองตลาดได้ระยะยาวอีกด้วย
เจ้าของผลงาน คุณ Areewan Yangtad

Thursday, September 25, 2008

ข้อดี-ข้อเสีย ของการที่องค์กรสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ

ข้อดีของการที่องค์กรสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ

หากธุรกิจสามารถเชื่อมโยงกระบวนการทำงานเข้ากับเทคโนโลยีได้นั้นจะส่งผลให้เกิดข้อดีต่อธุรกิจ ที่จะช่วยให้มองเห็นโอกาสและเข้าใจความต้องการของ “ตลาด” ในอนาคตได้ดีขึ้น และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการเป็นผู้นำตลาดหรือผู้ตามที่ชาญฉลาด การขยายขอบเขตธุรกิจ และการสร้างตลาดใหม่ เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
โดยตัวอย่างของบริษัทที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ ได้แก่
- 3M ที่เน้นให้พนักงานในองค์กรเสนอความคิดเห็นต่างเพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
- Muji ที่เลือกใช้การทำ Collaboration เพื่อให้เกิด Innovation ผสมผสานกับเทคโนโยลีที่ทาง Muji มี ทำให้เกิดการพัฒนาของการทำ R&D ในรูปแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
- iPod ของ Apple ผลผลิตจากการร่วมกันสร้างสรรค์ระหว่างวิศวกร 35 คนจากหลากหลายองค์กร เช่น Philips, IDEC, General Magic, Apple, Connextix และ WebTV ในการแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างหุ้นส่วนทางธุรกิจ รวมถึงความรวดเร็วในการตัดสินใจและความโปร่งใสในกระบวนการพัฒนา ส่งผลให้สามารถดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ iPod ได้ในระยะเวลาเพียง 6 เดือน และสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของไฟล์เพลงดิจิตอล ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานกับเครื่องเล่นเพลง ทำให้สร้างความแตกต่างจากเครื่องเล่นเพลงดิจดตอลทั่วไป ปัจจุบัน iPod สามารถขายได้มากกว่า 10 ล้านเครื่องและสร้างรายได้ให้แก่ Apple จำนวนมหาศาล

ข้อเสียของการที่องค์กรไม่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ

ถ้าธุรกิจทำการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจได้ไม่ดี หรือไม่ประสบความสำเร็จ อาจเกิดจากความไม่ร่วมมือกันในแผนกต่างๆ และขาดการสนับสนุนจากผู้นำหรือผู้บริหาร หรือบุคลากรในองค์กรมีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง, การขาดความรู้ความชำนาญของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในองค์กร, การขาดการสื่อสาร และการฝึกอบรมเพื่อให้บุคลากรในองค์กรสามารถนำเทคโนโลยีไปให้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ หรือการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ ก็จะส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการเข้าใจตลาด และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้เร็ว ส่งผลถึงโอกาสในการแข่งขันกับธุรกิจอื่นๆที่น้อยลงด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการนำเทคโนโลยีมาเชื่อมโยงกับธุรกิจนั้น จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องกระบวนการในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจด้วย หรือที่เรียกว่า Technology Management Process โดยมีขั้นตอนดังนี้

• Technology Strategy Development เป็นการกำหนด Vision และ Mission รวมถึงเป้าหมายของบริษัทให้ชัดเจน
• Technology Needs Assessment ต้องมีการศึกษาทั้ง Internal และ External เพื่อทำการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับองค์กร
• Technology Gap Analysis เป็นการดูทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กร และดูว่ายังขาดทรัพยากรใดอยู่บ้าง เพื่อนำมาปรับใช้กับเทคโนโลยีใหม่
• Technology Availability Assessment เพื่อดูว่าในตลาดมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง และมีเทคโนโลยีใดที่เหมาะสมกับองค์กรบ้าง
• Technology Evaluation and Selection เป็นการประเมิณดูว่าเทคโนโลยีที่เลือกมานั้น สอดคล้องกับองค์กรหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
• Technology Acquisition เป็นการตัดสินใจว่าจะนำเทคโนโลยีนั้นมาใช้อย่างไร เช่นซื้อมา หรือทำ Partnership เป็นต้น
• Technology Adaptation เป็นการเชื่อมโยงเทคโนโลยีให้เข้ากับองค์กรของเรา หรือเชื่อมโยงองค์กรให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่
• Technology Implementation เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับองค์กร และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
• Technology Improvement ถึงแม้จะได้เทคโนโลยีใหม่มาใช้ในองค์กรแล้ว ก็ยังต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วย
• Technology Imitation โดยปกติแล้วการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ จะต้องมีการลงทุนกับ R&D เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นการยากสำหรับบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรมากนัก การเป็น Technology Imitation จึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่จะต้องทำให้ได้ในเวลาอันสั้น และนำเทคโนโลยีนั้นออกสู่ตลาดก่อนที่ผู้นำเทคโนโลยีจะสามารถคืนทุนในส่วนของ R&D ที่ลงทุนไปได้
• Technology Innovation การทำ Imitation อาจทำให้เราสามารถสู้กับองค์กรที่เป็นผู้นำได้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ยั่งยืนได้ในระยะยาว องค์กรจะต้องมีการพัฒนา R&D ของตนเองเพื่อเปลี่ยนจาก Imitation เป็น Innovation

ความเชื่อมโยงของโครงสร้างขององค์กร, ข้อมูล, เทคโนโลยี, สินค้าและบริการ เข้ากับธุรกิจ
นอกจากที่ธุรกิจสามารถพิจารณาทำการเชื่อมโยงเทคโนโลยีให้เข้ากับธุรกิจแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงองค์ประกอบอื่นๆภายในธุรกิจให้เกิดความเชื่อมโยงที่สมบูรณ์มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยจากภาพรูปบ้าน (Appendix 2) ที่ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบหลักของธุรกิจ อันได้แก่
1) โครงสร้างขององค์กร (Organization) เพื่อแสดงลักษณะของตำแหน่งงาน, บุคคลที่อยู่ในในองค์กร เช่น ในกระบวนการผลิตสินค้า จำเป็นที่ต้องมีผู้รับผิดชอบในกระบวนการผลิต, หรือขั้นตอนการทำ Inbound Logistics แผนกหรือบุคคลใดที่รับผิดชอบในส่วนของการรับสินค้า หรือตรวจสอบสินค้า
2) ข้อมูล (Data) ที่เป็นรายละเอียดข้อมูลของลูกค้า, สูตรการผลิต หรือเอกสารต่างๆ
3) เทคโนโลยี (Technology) ที่เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ที่สายการผลิตมีการนำโปรแกรมใดมาช่วยในการบันทึกข้อมูลการผลิต หรือ เทคโนโลยีใดที่จะสามารช่วยให้กระบวนการผลิตทำได้รวดเร็วขึ้น อาจเป็นเทคโนโลยีสายพานลำเลียง, เทคโนโลยีเครื่องฉีกพ่นสี เป็นต้น
4) สินค้าและบริการ (Product/Service) ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดำเนินการภายในองค์กร และส่งไปสู่มือลูกค้า
5) กระบวนการทำงานในธุรกิจ (Business Process) ที่เป็น Business Model ของธุรกิจ และขั้นตอนการทำงานต่างๆภายในองค์กร

โดย องค์ประกอบ 4 ส่วนแรก Organization, Data, Technology และ Product/Service เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้กระบวนการทำงานในองค์กรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้องค์กรทราบว่าฟังก์ชั่นการทำงานนั้นๆ มีใครเป็นคนดูแล, ใช้ข้อมูลอะไรในการทำงาน, มีเทคโนโลยีใดที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และเกิด out put อะไรจากฟังก์ชั่นงานนั้นๆ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆในธุรกิจ และทำให้กระบวนการทำงานภายในธุรกิจเกิดความเชื่อมโยงได้อย่างสมบูรณ์

The need for aligning technology with business

ความจำเป็นของการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ

การดำเนินกิจการต่างๆในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีขนาดองค์กรที่เล็กหรือใหญ่ ต่างล้วนมีความต้องการให้ธุรกิจของตนมีกำไร เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจอื่นๆที่อยู่ในโลกใบเดียวกันได้อย่างยั่งยืน บางธุรกิจมีความโดดเด่นในเรื่องของ Cost leadership บางธุรกิจมีความแตกต่างของตัวสินค้าที่ไม่เหมือนใคร (differentiation) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลยุทธ์ของแต่ละองค์กร ที่จะจัดการเพื่อให้เกิด Competitive Advantage ของธุรกิจของตน แต่การจะทำให้ธุรกิจหนึ่งๆ ก้าวไปเหนือคู่แข่งนั้นสิ่งสำคัญที่หนีไม่พ้นคือ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือเหมาะสมกับธุรกิจมาใช้เพื่อให้กระบวนการทำงานต่างๆภายในองค์กรดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตจากการใช้เวลาทำงานที่ลดลง, ลดปริมาณของเสีย, ลดการใช้แรงงานคน หรือเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตสินค้า/บริการ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งในกระแสโลกาภิวัติของโลกในทุกวันนี้ ที่ทุกธุรกิจจำเป็นที่ต้องรู้จักกับคำว่า “เทคโนโลยี” ในขณะที่ธุรกิจต้องพยายามพัฒนาองค์กรให้ทันตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการเชื่อมโยงเทคโนโลยีให้ข้ากับธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

“คำว่าเทคโนโลยี หมายถึง องค์ความรู้ที่สามารถนำมาพัฒนาปรับประยุกต์ แล้วนำมาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ส่งผลทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งที่เป็นแบบจับต้องได้และจับต้องไม่ได้”
Dr. Nathasit Gedsri

เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ยาวนานต่อไปในอนาคต ดังนั้นจำเป็นที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีให้เป็นหัวใจหลักของการดำเนินงานทุกๆอย่างในองค์กร ไม่เพียงแต่เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่ธุรกิจจำเป็นต้องมี แต่เทคโนโลยียังมีความสัมพันธ์กับ Social, Ecological, Economic และ Political &Ethic อีกด้วย ทั้งนี้เมื่อพิจรณาโจทย์คำถามที่ว่า “อธิบายความจำเป็นของการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ” สามารถอธิบายได้ 2 มุมมอง โดยมุมมองแรกจะเป็นการเชื่อมโยงเทคเข้ากับ Value Chain ของธุรกิจ และมุมมองที่ 2 เป็นการเชื่อมโยง เข้ากับธุรกิจโดยใช้ Technology Roadmaps โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ความจำเป็นของการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจ ในมุมมองของ Value Chain

หากพิจารณาจากห่วงโซ่แห่งคุณค่า หรือ Value Chain ที่ประกอบไปด้วยกระบวนการต่างๆ ภายในธุรกิจ ตั้งแต่การรับสินค้า จัดเก็บ ไปจนถึงการส่งสินค้าออกไปสู่ลูกค้า ในทุกๆกระบวนการทำงานจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี เพื่อช่วยในการจัดการแทบทุกขั้นตอน โดยอาจมีความแตกต่างกันในรูปแบบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในแต่ละประเภทธุรกิจ ทั้งนี้ตัวอย่างด้านล่างจะเป็นฟังก์ชั่นของ Value Chain ที่เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรมประเภทการพิมพ์โดยอธิบายว่ามีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในส่วนใด

ความจำเป็นของการเชื่อมโยงเทคโนโลยี เข้ากับธุรกิจ ในมุมมองของ Technology Roadmaps


ในการดำเนินกิจการที่ดีเพื่อให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน นั้นธุรกิจจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ และเส้นทางเดินของตนเอง เพื่อให้เกิดภาพของแผนการดำเนินงานที่จับต้องได้ในระยะยาว หรือที่เรียกว่าการทำ Technology Roadmaps (TRM)

คำว่า Roadmaps หมายถึง “A roadmap is an extended look at the future of chosen field of inquiry composed from the collective knowledge and imagination of the brightest drivers of the change” หรือเป็นขบวนการวิเคราะห์ รวบรวมปัจจัยต่างๆ แล้ววิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อธุรกิจนั่นเอง
Robert Galvin


ส่วนคำว่า Technology Roadmaps (TRM) หรือ การทำแผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กร หมายถึง “กระบวนการที่ใช้วิเคราะห์ความเชื่อมโยง Business Strategy และ Technology Strategy เข้าไว้ด้วยกัน”
Dr. Nathasit Gedsri

โดยประโยชน์ของการทำ TRM จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่าง Business Strategy เข้ากับ Technology Strategy และรวมถึงการเชื่อมโยงกระบวนการทำงานของธุรกิจในแต่ละแผนก ในขณะเดียวกันการทำ TRM จะเพิ่มคุณค่าให้แก่องค์กร ที่ให้ความสนใจในการนำแผนที่นำทางการพัฒนาเทคโนโลยี (TRM) เข้ามาใช้ประโยชน์ในการเชื่อมโยงของธุรกิจ ดังต่อไปนี้

1. Linking strategy to product plans and technology plans
2. Focusing on planning with priority setting
3. Enabling corporate/national-level technology plans
4. Increasing the potential for technology re-use
5. Leveraging the company’s existing technological strengths
6. Visualizing all concurrent programs
7. Reducing duplicate efforts
8. Aligning the appropriate resources with the business objective and strategic priorities
9. Improving communication and ownership of plans

ทั้งนี้การทำ TRM ที่เป็นการเขียนขั้นตอนในการนำเทคโนโลยีมาเชื่อมโยงกับธุรกิจในช่วงเวลาต่างๆ ถือเป็นความท้าทายต่อการเตรียมและจัดองค์กร รวมทั้งพัฒนาบุคลากรเพื่อรับมือกับแผนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยสิ่งสำคัญจะอยู่ที่เทคโนโลยีในด้านใดบ้างที่จะผูกโยงไปกับกลยุทธ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีไปตอบสนองต่อประเด็น หรือกลยุทธ์ เช่น
– การใช้เทคโนโลยีใหม่ในการพัฒนายาใหม่ เพื่อต่อสู้กับโรคติดต่อใหม่ การพัฒนายาใหม่นั้นต้องการความรู้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารสนเทศชีวภาพ (bioinformatics) ระบบฐานข้อมูลโมเลกุล (molecular database) แบบจำลองคอมพิวเตอร์ (computer modeling) การทำเหมืองข้อมูล (data mining) รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง (high performance computing) เพื่อช่วยในการคำนวณ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเข้าใจถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่ต้องจัดเตรียมเพื่อการพัฒนายาตัวใหม่ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบความสามารถของแผนกต่างๆในองค์กร และเขียนเป็นขั้นตอนในการดำเนินงาน เพื่อให้แต่ละแผนกทราบถึงสิ่งที่ตนเองจะต้องจัดทำ เพื่อให้บรรลุจุดมุมหมายเดียวกันคือการพัฒนายาใหม่ขององค์กร

จากการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจในมุมมองของ Value Chain และ Technology Roadmaps ตามที่ได้กล่าวมา อาจมีการนำเทคโนโลยีไปเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆเช่น การเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับลูกค้า (CRM), การเชื่อมโยงเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี และ การเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยีไปเชื่อมโยงส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ธุรกิจ อาทิ การเชื่อมโยงเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับคนตาบอด เป็นต้น

Thursday, April 10, 2008

ขั้นตอนของการทำ BPM


ขั้นตอนของการทำ BPM จะประกอบไปด้วย 4 ฟังก์ชั่นงานหลัก คือ

1) การวางแผนกลยุทธ์ หรือStrategy จากผู้บริหารระดับสูง

2) กำหนดกระบวนการทำงาน หรือเป็นการ Design ขั้นตอนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ตรงตามกลยุทธ์ที่ได้รับมอบหมาย

3) เป็นการนำกระบวนการทำงานที่ได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากผู้บริหารไปลงมือปฎิบัติจริง (Implementation) และ

4) การควบคุม และประเมิณผลการทำงาน (Controlling)


ซึ่งทั้ง 4 ฟังก์ชั่นจะเป็นความสัมพันธ์ของการทำ BPM ที่มีความต่อเนื่อง เมื่อองค์กรมีการควบคุม และประเมิณผลจากการทำงาน ผู้บริหารสามารถกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีภายในองค์กร เกิดเป็น การจัดการกระบวนการทำงาน (BPM) ที่แข็งแกร่งภายในองค์กร และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจอื่น ภายในอุตสาหกรรมต่อไป

Wednesday, March 5, 2008

What is Business Process Management?

อะไรคือการจัดการกระบวนการทำงาน (What is Business Process Management)

ปัจจุบันมีหลายบริษัทในประเทศไทยให้ความสนใจกับการจัดกการกระบวนการทำงานภายในองค์กร เพิ่มมากขึ้น หรือที่เรียกว่าการทำ Business Process Management (BPM) โดยการทำ BPM เป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงกระบวนการทำงานในแต่ละธุรกิจ เพื่อให้มีความโปร่งใส และเกิดความรวดเร็วในการทำงาน ทั้งนี้การจัดการกระบวนการทำงานภายในองค์กร จะส่งผลต่อต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ประสิทธิภาพของการทำงาน/บริการ และส่งผลโดยตรงต่อรายได้ที่เกิดจากต้นทุนที่ลดลง และประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นนั่นเอง
โดยทั่วไป Business Process Management (BPM) หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในองค์กร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็น สินค้า/บริการ ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งลูกค้าภายใน และภายนอกองค์กร โดยลูกค้าภายในองค์กรคือ พนักงานในแผนกต่างๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ส่วนลูกค้าภายนอกองค์กรคือ บริษัท/บุคคล ที่องค์กรจำเป็นต้องติดต่อประสานงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขาย สินค้า/บริการ (Supplier) และ ลูกค้าที่ซื้อสินค้า/บริการ (Buyer) เกิดเป็น Value Chain เชื่อมต่อกันของสายธุรกิจ จากการพัฒนากระบวนการธุรกิจภายในองค์กร